กรด “ไขมันทรานส์” (Trans Fatty Acids) คือ ...
ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ 13 ก.ค. 2561 บอกว่า...
คือ น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oils) คือถูกสร้างขึ้นจากนำ้มันพืชที่ผ่านกระบวนการที่ใช้ไฮโดรเจนเพื่อให้น้ำมันกลายมาเป็นไขมันแข็ง
จะพบเจอ “ไขมันทรานส์” ได้ที่...
เนยขาว เนยเทียม คุ้กกี้ โดนัท วิปครีม ขนมขบเคี้ยว และอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ มันฝรั่งทอด ขนมปัง เค้ก และของทอดต่างๆ ฯลฯ
“ไขมันทรานส์” ทำไมถึงอันตราย...
เพราะ ... ส่งผลเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดอุดตันในสมอง
“ไขมันทรานส์” เป็นฆาตกรเงียบที่โลกตรงหยุด
องค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องทั่วโลกยกเลิกการใช้ไขมันทรานส์ในอาหารภายในปี 2023 หวังลดการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดและหัวใจ โดยแนะนำแบบเป็นขั้นตอนสำหรับรัฐบาลทั่วโลกในการกำจัดกรดไขมันทรานส์คือเอาออกจากสายการผลิตอาหารทั่วโลก
เรียกว่า “รีเพลซ” (REPLACE)” คือ ...
ยุทธศาสตร์ 6 ขั้นตอนที่จะสามารถกำจัดไขมันทรานส์ได้อย่าง รวดเร็ว หมดจด ยั่งยืน
1. RE มาจากคำว่า Review หมายถึง การตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของไขมันทรานส์ เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายตามความเหมาะสม
2. P มาจากคำว่า Promote หมายถึง สนับสนุนการใช้ไขมันประเภทอื่นแทนไขมันทรานส์
3. L มาจากคำว่า Legislate หมายถึง การออกกฎหมายข้อบังคับต่างๆ เพื่อกำจัดไขมันทรานส์
4. A มาจากคำว่า Assess หมายถึง คอยตรวจสอบปริมาณไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหาร และปริมาณการบริโภคไขมันทรานส์ของประชาชน
5. C มาจากคำว่า Create หมายถึง การสร้างความตระหนักถึงผลเสียที่ไขมันทรานส์มีต่อสุขภาพ ทั้งในทางภาครัฐ ผู้ประกอบการ และ ประชาชน
6. E มาจากคำว่า Enforce หมายถึง การบังคับใช้กฎหมายข้อบังคับต่างๆ
คร่าชีวิตคนกว่า “ครึ่งล้าน”
ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดและหัวใจเนื่องจากการบริโภคไขมันทรานส์ “มากกว่า 5 แสนคน”
สาเหตุที่ผู้ผลิต กลุ่มธุรกิจอาหาร นิยมใช้ “ไขมันทรานส์” เพราะ...
“ราคาถูก” “เก็บได้นานกว่าน้ำมันตามธรรมชาติ” รวมทั้งสามารถ “นำกลับมาให้ความร้อนได้หลายๆ ครั้ง” แม้ว่าจะมีตัวเลือกอื่นที่ดีต่อสุขภาพและสามารถใช้ได้โดยไม่กระทบกับรสชาติและราคาของอาหารอยู่แล้วก็ตาม
ความตื่นตัวในการหยุดบริโภค “ไขมันทรานส์”
องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าว่าจะสามารถกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมผลิตอาหารได้ภายในปี 2023 หรือ 5 ปีข้างหน้า ภายใต้คำแนะนำนี้
“เดนมาร์ก” คือต้นแบบยกเลิกไขมันทรานส์ เพราะ...มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดหัวใจลดลงอย่างรวดเร็ว
ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์
“ สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา อังกฤษ สหรัฐฯ
โดยสหรัฐฯ กำหนดด้วยว่า อาหารที่ผลิตในกระบวนการอุตสาหกรรมที่จะเอามาขายในสหรัฐฯ ได้จะต้องปลอดไขมันทรานส์
สำหรับเมืองไทย...
ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา ล่าสุดประกาศกระทรวงสาธารณสุข ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย “ไขมันทรานส์” มีผลบังคับใช้อีก 180 วัน เผยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ระบุว่า ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่า กรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acids) จากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oils)
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 (8) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน และอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย
ข้อ 2 ประกาศฉบับนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ทั้งนี้ อาหารที่มีกรดไขมันทรานส์อยู่มาก เช่น เนยขาว เนยเทียม คุ้กกี้ โดนัท วิปครีม ขนมขบเคี้ยว และอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2561
มูลนิธิผู้บริโภค ออก เตือน “โดนัทในเมืองไทย 8 ยี่ห้อ” ไขมัน ทรานส์สูงเกินเกณฑ์
โดยเปิดเผยผลทดสอบไขมันทรานส์จากโดนัทช็อกโกแลต 13 ยี่ห้อ พบ 8 ยี่ห้อ พบว่ามีปริมาณไขมันทรานส์สูงเกินเกณฑ์องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด คือ เกินกว่า 0.5 กรัมหน่วยบริโภค โดย รศ.ดร.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า การบริโภคไขมันทรานส์เกินกว่า 2.2 กรัมต่อวัน สามารถเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และทำให้ระดับไขมันดี (HDL) ลดลง ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจและความดัน